Wednesday, August 21, 2013

เสียงข้างมาก...การเมือง...เศรษฐกิจ

อ.วีระ ธีรภัทร
FM 96.5 MHz  14.12 น.
๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๖

...บางครั้งเราก็จะเห็นว่ามาจากประชาชน  การเป็นส.ส.จากเขตเลือกตั้งจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง  เวลาท่านเข้ามาในสภาฯก็จะบอกท่านเป็นตัวแทนประชาชนทั้งประเทศ  ซึ่งจะว่ากันตามข้อเท็จจริงแล้วก็ไม่ใช่  ท่านก็เป็นตัวแทนจากอำเภอนั้นอำเภอนี้ 3-4 อำเภอมาร่วมกันเป็นเขตเลือกตั้ง  ส่วนอีกคนก็เลือกอีกพวกหนึ่ง  แต่กฎหมายเขียนรวมๆว่าเป็นตัวแทนจากปวงชนชาวไทย  ท่านก็อ้างว่าท่านเป็นตัวแทนจากประชาชนทั้งหมด  ซึ่งในทางข้อเท็จจริงแล้วมันไม่ใช่  ทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์สมมุติประดิษฐ์บัญญัติมาทั้งนั้นแหละ  แต่ว่าบางทีก็ลืมกันไปว่ามันมีข้อจำกัดคำอธิบายด้วย  แต่เนื้อหาสาระสุดท้ายก็คือว่าหลักคิดมันง่ายๆเรื่องทางการเมือง  ๑. เราเลือกตัวแทนไปทำแทนเรา  ๒. เราเข้าไปทำเอง  ๓. ระบบเปิดช่องให้เราเข้าไปทำเอง  หรือบ้างระบบยังไม่ถึงกับเป็นตัวแทนแต่ก็ให้มีสิทธิ์เข้าไปมีส่วนร่วม  ปัจจุบันนี้การเมืองแบบมีส่วนร่วมในนิติบัญญัติ ในตุลาการในศาลนี่ก็เป็นการแบ่งแบบสมัยใหม่ เพิ่งมาประมาณ ๒๐๐ ปีเท่านั้น  เรื่องอำนาจอธิปไตยแบ่งเป็นสามเนี่ย  คือผมเรียนมาผมไม่ค่อยตื่นเต้นหรอกที่ถกๆเถียงๆกันเนี่ยนะ  เหนือสิ่งอื่นใดในเรื่องที่เกี่ยวกับอำนาจอธิปไตย หลายท่านยังไม่รู้นะครับอำนาจอธิปไตยนี่มันอะไร  ทั้งหลายทั้งปวงในทางการเมืองเนี่ย  ที่เข้าสู่อำนาจ ใช่อำนาจ รักษาอำนาจ บริหารจัดการอำนาจที่ได้มาตามข้อตกลงที่ว่ากัน  เป้าหมายคือทำให้สังคมโดยร่วมมันพัฒนาไปในทางที่ดี  พูดง่ายๆว่าทำให้สังคมนี้มันดีขึ้นในทางเศรษฐกิจ ทำมาหากิน ดีขึ้นทั้งในความเป็นอยู่และทรัพย์สิน  ดีขึ้นทั้งในการฝึกอบรมสมาชิกรุ่นใหม่เพื่อส่งมอบให้ดูแลต่อไปในอนาคต  ภาระกิจของการมีอำนาจในทางการเมืองซึ่งจะมาจากการเลือกตั้งเป็นตัวแทนจากประชาชนทั้งทางตรงทางอ้อม จัดสรรค์ คัดสรรค์ แต่งตั้ง เลือกตั้งอะไรเนี่ย มันต้องมารับใช่เป้าหมายนี้  บางที่เราก็สู้กันจนเลยเทิด  เพราะว่าหลังๆนี่มันมีความคิดเรื่องลัทธิเสียงข้างมาก คือเสียงข้างมากเป็นตัวตัดสิน"ถูก""ผิด"  อย่างที่ผมเคยบอกน่ะ ตัดสินได้แต่ว่าต้องตัดสินในเรื่องที่ถูกผิดเหมาะควรนะ  ไม่ใช่เสียงข้างมากไปลงมติอะไรเลอะเทอะซึ่งมันก็มีจริง  และบางอย่างมันไปลงมติเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มันเป็นธรรมชาติไม่ได้  เสียงข้างมากในหมู่เพื่อน ๑๐ คนมาลงมติว่าผมเป็นหมาเนี่ยมันไม่ได้  เพราะว่าข้อเท็จจริงคือผมไม่ใช่หมา  เพราะฉะนั้นอะไรที่สวนก็ความเป็นจริงนี่มันไม่ใช่  บ้างที่เราก็พูดกันไปอ้างกันไปจนบ้างที่คนที่ไม่สนใจไตร่สวนสืบสวนหรือว่าศึกษาหาความรู้มาพอสมควรก็งง  บ้างที่ก็จนแต้มง่ายๆ  ยิ่งเรามีปัญหาประโยชน์เข้ามาทับซ้อนด้วย  เพราะในการได้ชัยชนะทางการเมืองมันเหมือนเข้าไปจัดการสมบัติส่วนร่วม  ซึ่งตัวเองก็เป็นเจ้าของ  ในเวลาเดียวกันคนที่เขาไม่ได้เลือกคุณเขาก็เป็นเจ้าของ  มันไม่ใช่ว่าให้คุณไปทำอะไรโดยผ่านกระบวนการตรงนั้นแล้วไปทำอะไรโดยตามอำเภอใจ  บ้างครั้งการทำอะไรบางอย่างในปัจจุบันมันส่งผลในอนาคต  เวลาเกิดความย่ำแย่  เกิดวิกฤตขึ้นมาเนี่ย  คนทั้งสังคมมันต้องรับผลกระทบนั้นด้วย
แม้เขาไม่ได้เลือกคุณให้ไปทำหน้าที่ดูแลบริหารจัดการ  ไอ้เนี่ยทำให้ผมนึกถึงรัฐบาลที่เป็นข้อต่อในช่วงหลังยุบสภาปี๓๕ รัฐบาลคุณชวน  รัฐบาลคุณบรรหาร  รัฐบาลคุณชวลิต  โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลคุณบรรหารกับคุณชวลิต ซึ่งมาก่อนการเกิดวิกฤติปี ๒๕๔๐ ถ้านึกย้อนกลับไปก็ต้องบอกว่า ถ้าได้รัฐบาลที่ดีกว่านั้น  รู้เท่าทันสถานการณ์มากกว่านั้น  เราก็จะไม่ถึง ๒๕๔๐ อย่างที่เราผ่านมาหรอก  ถึงแม้นี่จะเป็นการพูดย้อนดูก็จริง  แต่ผมบอกไม่ใช่เรื่องเหตุผลแค่ย้อนดู  เหตุผลก็คือว่าเวลาคณะใดคณะหนึ่งมีอำนาจเข้ามาบริหารจัดการไม่ว่าจะโดยแต่งตั้งเลือกตั้ง  ไม่ว่าจะโดยรัฐประหารโดยอะไรก็ตามที  เขามีอำนาจในฐานะที่จะจัดการเรื่องทั้งหมดในสังคมตามกฎหมายตามรัฐธรรมนูญตามบทบัญญัติต่างๆจริง  แต่ว่าเขาไม่ใช่เจ้าของทั้งหมด  แม้แต่ให้ปัจจุบันนี้ก็เหมือนกัน  ถ้ารัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์บริหารจัดการแล้วเกิดปัญหา  คนที่เลือกคุณยิ่งลักษณ์เลือกรัฐบาลเพื่อไทยก็ผลกระทบเช่นเดียวกับคนที่ไม่ได้เลือก  ตรงนี้สำคัญ  บางทีเราก็มองข้ามไป  ไปเอาชนะกันเรื่องเลือกตั้งเสียงข้างมากเสียงข้างน้อยจนลืมไปว่า  เฮ้ยมันต้องเป็นเรื่องทั้งหมดทั้งก้อน  ส่วนคนที่คัดค้านรัฐบาลบางทีก็ถูกกล่าวหาเลยเถิดไป  ประดิษฐ์คำขึ้นมา เช่น ล้มล้างรัฐบาล  ผมจะบอกให้คำนี้ไม่มีหรอกครับ  คำว่าล้มล้างรัฐบาลน่ะผมนึกไม่ออก  ยกเว้นแต่มีอาวุธเท่านั้นเอง  แต่ถ้ามือเปล่าคำว่าล้มล้างรัฐบาลก็ทำได้แค่ปรวน  อย่างดีก็ชุมนุม  หรือไม่งั้นก็ยกระดับขึ้นไปเป็นการประทุษร้ายต่อทรัพย์สินของรัฐ  เหตุการจราจล  แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า  จะไปอธิบายว่าไอ้เนี่ยมันเป็นกบฎ  มันเป็นคำที่ใช้จริงแต่ว่ามันไม่ใช่  และผมอยากให้คุณดูเหตุการณ์ย้อนหลังสั้นๆไม่ต้องมาก  เอาแค่ตั้งแต่ปี ๔๘  จนถึงปัจจุบัน  ดูอย่างกรณีคนเสื้อเหลือง  สิ่งที่ทำได้ก็คือชุมนุมไปชุมนุมมาแล้วก็เกิดรัฐประหารปี๔๙  คือตอนที่คัดค้านรัฐบาลสมัคร  คุณสมัครก็ไม่ได้ไปเพราะการชุมนุมนะ  ไปเพราะไปขัดกับธรรมนูญ คือไปรับจ้างบริษัทเอกชนทำรายการโทรทัศน์  ซึ่งนี่ก็ถูกทำให้เข้าใจเป็นเชิงเน็กทีฟว่า ทำกับข้าวออกทีวีแล้วเลยไม่ได้เป็นนายกอะไรอย่างนี้  จริงถ้าไปอ่านคำ  ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไรก็ตามที  แต่ว่ามันไม่ใช่ง่ายๆอย่างนั้น  หรือการยุบพรรค  แม้แต่เสื้อเหลืองออกแรงไปชุมนุมปิดล้อมสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง ยึดทำเนียบเข้าไปควบคุมภายในรัฐบาลเข้าไปบริหารไม่ได้  แต่เวลารัฐบาลนั้นไปเนี่ย  ไม่ใช่เพราะจากการชุมนุมนะ  ๒ ธันวาคม ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคพลังประชาชน  จากเรื่องกรรมการบริหารพรรคคนหนึ่ง ถูกศาลฎีกาคดีเลือกตั้งไตร่สวนตัดสินแล้วว่าไปทำผิดกฎหมายเลือกตั้งร้ายแรงเลยล่ะให้ใบแดงเลย ก็ไม่ได้เกี่ยวกับการชุมนุมโดยตรง  อ่าแน่ก็แน่นอนล่ะจะมีบางคนอ้างว่าก็ไอ้การชุมนุมก็เลยทำให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินอย่างนั้นอ่าอันนี้ผมยกให้  หรือแม้การชุมนุมของเสื้อแดงปี๒๕๕๒ ที่เอารถแก๊สมาตรงแฟรตดินแดง  มีคนตายที่สนามม้านางเลิง ๒ คน หรือเผารถเมล์  ก็ไม่ก่อให้เกิดผล  นี่ขนาดใช้สิทธิ์ต่อต้านรัฐบาลแบบเต็มทีแล้วนะ  ประกาศภาวะฉุกเฉิน มีศอฉ. ศอรศ.อะไรแล้วนะ  ถามว่าดลบันดาลให้เกิดอะไรได้บ้าง ก็ไม่  กลับในปี๕๓ ยิ่งหนักเข้าไปอีกเนี่ย  ไม่รู้เกิดอะไรขั้นบ้างน่ะ มีเหตุการณ์จราจล บริษัท ออฟฟิตประชาชนถูกเผา  ห้างสรรพสินค้าถูกเผา  สถานที่ราชการถูกเผา  มีปาระเบิด มีอะไร แล้วไง  ก็ไม่ได้ล้มรัฐบาล  เพียงแต่ย่นเวลาทำให้การเลือกตั้งมันเร็วขึ้น  สุดท้ายก็เป็นเรื่องการเลือกตั้ง  เห็นไหมนี่ประชาชนทำเต็มที่ทั้ง ๒ ฝ่ายก็ไม่เห็นจะไปล้มอะไรได้  การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจริงๆเนี่ยมันพ้นมือประชาชน  เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่า ถ้าเราเอากันแบบประเภทรวบรัดตัดตอนเอาแบบสั้นย่อ  มันก็คลุมๆเครือๆ  ที่ผมลำดับมาทั้งหมดนี่ก็เพื่อให้ท่านเอาไปคิดต่อ  ผมไม่อยากแนะนำอะไรมากแล้วผมเบื่อคือทุกคนเก่งๆกันทั้งนั้น  ถ้าเข้าใจหัวใจของเรื่องมันเกิดจากอะไรแล้ว  ถึงจะหงุดหงิดรำคราญใจก็บริหารจัดการได้  ก็วนๆเวียนๆอยู่  ถ้าท่านขี้เกลียดดูขี้เกลียดฟังก็ปิดโทรทัศน์ปิดวิทยุ  แต่ว่าอย่าไปทิ้ง อย่าไปละเลย  เราก็ต้องติดตามๆสมควร  นี่ถ้าหากว่าสถานการณ์เศรษฐกิจมันไม่ย่ำแย่อย่างนี้นะมันก็พอทำเนา  ผมเรียนผู้ฟังตามตรงว่าผมโครตเป็นห่วงเลย เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องทำมาหากินเนี่ย มันไม่ค่อยดีจริงๆนะ บ้างคนมีแต่กระเป๋าจริงๆนะ  รายได้ชักหน้าไม่ถึงหลังจริงๆนะ  ยิ่งคนเพิ่งจะทำงาน ยิ่งคนเพิ่งจะทำมาหากิน  เพิ่งจะเก็บสะสมสมบัตินี่  สำหรับผมเองนี่ผมระมัดระวัง  ก็เคยบอกท่านหลายทีแล้วว่า เคล็ดรับให้การบริหารจัดการเรื่องสตุงสตางค์ส่วนตัวนี่ จะไม่ให้มันเกิดวิกฤตทางการเงินส่วนตัวมีเรื่องเดี่ยวทำนั้นหัวใจมันอยู่ตรงนี้ว่า "ไม่มีหนี่" ถ้ามีก็มีให้น้อยที่สุดเท่าที่จะมีได้  และไอ้ที่มีให้น้อยที่สุดเท่าที่จะมีได้นี่ก็ขอให้เป็นหนี่ที่มันเหมาะควร เป็นหนี่ที่มีเหตุมีผล ผมไม่ได้คัดค้านใครที่อยากไปเป็นหนี่เป็นสินนะ แต่ว่าถ้าลำพังแค่ประเดี๋ยวประด๋าวซื้อของมากินมาใช้อย่างนี้ท่านก็ต้องไตร่ตรองให้ดีว่าอันไหนเหมาะควร แต่อันนี้มันเป็นพระอุดเป็นเครื่องมือเดียวเป็นหัวใจสำคัญที่จะรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจให้ช่วงอย่างนี้  ถ้าเป็นช่วงเศรษฐกิจแบบว่าเดินไปได้หาเงินได้ง่ายจับจ่ายใช้สอยได้คล่องมือเงินเข้าทางซ้ายเงินออกทางขวาตลอดอย่างนี้ไม่เป็นอะไร  แต่ถ้าซ้ายไม่เข้าขวาออกอย่างเดียวอย่างที่กำลังเป็นอยู่ตอนเนี่ย  ถ้าท่านไม่ได้มีภูมิต้านทางไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันเอาไว้  ผมรับประกันได้เลยว่าเสร็จ เสร็จแน่นอน  จะเป็นรัฐบาลไหนก็เสร็ฐทั้งนั้นแหละ  ตัวท่านน่ะเสร็จก่อน  ไอ้คนที่เป็นรัฐบาลน่ะมีตังทั้งนั้นแหละคุณ ไม่ว่าจะเป็น ส.ส., ส.ว., ข้าราชการการเมือง  รัฐมนตรี  นักธุรกิจ  คนที่ทำมาหากินที่เขามีมากกว่าท่านและเขามีช่องมีทางหาเงินได้มากกว่าท่านเขารอดทั้งนั้นแหละ  ไอ้ท่านที่เชียร์การเมืองเหยงๆเนี่ยจะไม่รอดเอา



No comments:

Post a Comment