Thursday, May 30, 2013

เห็นแก่ตัว

ความเห็นแก่ตัวมันทำอะไรได้ทั้งนั้น นึกจะทำอะไรก็ทำ โดยไม่คิดถึงผู้อื่น ว่าจะเดือดร้อน หรือถูกเบียดเบียนอย่างไร สังคมเราทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนี้เสียมาก






Monday, May 27, 2013

ทำความเข้าใจ "ระบอบทักษิณ"


ได้ยินคำว่า "ระบอบทักษิณ" อยู่บ่อย  เลยอยากจะทำความเข้าใจให้ชัดกับคำนี้ เริ่มค้นจากชื่อ อ.เกษียร เตชะพีระ ก่อน ก็ได้มาดังนี้
ศ.ดร.เกษียร_เตชะพีระ
ปาฐกถา 14 ตุลา 2550 :“จากระบอบทักษิณสู่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 วิกฤตประชาธิปไตยไทย”

รายงานปาฐกถานี้นำมาจากเวปไชน์ประชาไท โดยเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2550 รศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ นักวิชาการจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และองค์ปาฐกของงานปาฐกถา 14 ตุลาประจำปี 2550 กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ ‘จากระบอบทักษิณสู่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 วิกฤตประชาธิปไตยไทย’ ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน เนื้อหาส่วนใหญ อ.เกษียร จะหยิบมาจากงานวิจัยเรื่อง "จากระบอบทักษิณสู่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 : วิกฤตประชาธิปไตยไทย" ของอาจารย์ที่ทำให้กับศูนย์วิจัยคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจัดพิมพ์เป็นเล่มหนังสือประกอบการปาฐกถาครั้งนี้โดยมูลนิธิ 14 ตุลา โดยการปาฐกถา มีเนื้อหาประกอบด้วย
หนึ่ง เปรียบเทียบการปฏิวัติ 2475 กับ 2516
สอง ปมปริศนาของการปฏิวัติกระฎุมพีในประเทศกำลังพัฒนา
สาม จาก 2475 ผ่าน 14 ถึง 6 ตุลา
สี่ พฤษภาประชาธรรมกับวิกฤตโลกาภิวัตน์ไทย
ห้า รัฐประหาร 19 กันยา 2549
หก สรุปการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย 3 แนวทาง(พื้นที่ประชาชน ความหวังอันริบหรี่)

สวัสดีครับ ท่านคณะกรรมการมูลนิธิ 14 ตุลา คณาจารย์ ญาติมิตร และบุตรสหาย ของวีรชน 14 ตุลา ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ก่อนอื่น ขอขอบคุณเป็นอย่างสูง ที่กรุณาให้เกียรติและให้โอกาสผมมาปาฐกถา 14 ตุลาประจำปีนี้ ท่ามกลางสถานการณ์หลังรัฐประหาร ภายใต้ระบบเผด็จการครึ่งใบ และรัฐธรรมนูญกึ่งอำมาตยาธิปไตย ก่อนการเลือกตั้ง ที่ไม่เพียงแต่เป็นวิกฤตครั้งร้ายแรงในรอบ 15 ปีสำหรับกระบวนการสร้างประชาธิปไตยไทยหลัง 14 ตุลา 2516 ยังเป็นช่วงของความอึมครึม สับสนทางอุดมการณ์ การเมือง และศีลธรรม อย่างไม่เคยมีมาก่อนในรอบ 34 ปีของเหตุการณ์ 14 ตุลา

หากเปรียบกับวิกฤตการล่มสลายของ พคท. (พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย) และอุดมการณ์สังคมนิยมทั้งไทยและสากล จากกลางทศวรรษที่ 2520 ถึงกลางทศวรรษ 2530 ตอนนั้น แม้สังคมนิยมคอมมิวนิสต์จะกลายเป็นปัญหา แต่อย่างน้อย ประชาธิปไตยก็ยังไม่เป็นปัญหา การจำแนกมิตร-ศัตรูของประชาธิปไตยก็ยังชัดเจนอยู่ และวิสัยทัศน์เกี่ยวกับหนทางข้างหน้า ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีของกระบวนการสร้างและผลักดันประชาธิปไตยต่อไปก็ค่อนข้างมีฉันทามติสอดคล้องกัน  หรือเราสมควรกล่าวว่า หน่ออ่อนของปมปริศนาประชาธิปไตยปัจจุบัน ก็เริ่มแสดงเค้าล้างให้เห็นบ้างแล้ว ในแง่ที่ผู้นำกองทัพสมัยนั้น ในกลาง 2520 ถึง 2530 ออกมาประณามเผด็จการรัฐสภาของนายทุน และป่าวร้องสรรเสริญประชาธิปไตยภายใต้การกำกับของทหาร และข้าราชการประจำไม่ได้แยกจากข้าราชการการเมือง

ทว่า เหตุการณ์ท้ายนี้ ที่ภายใต้ระบอบทักษิณ และอำนาจรัฐประหารของ คปค. ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา การณ์กลับกลายเป็นว่า การวิวาทะถกเถียงในสังคมวงกว้าง, ขบวนการประชาชนเอง รวมศูนย์ที่ปัญหาว่า อะไรกันแน่คือแก่นของสาระประชาธิปไตยที่แท้จริง ใครกันแน่คือมิตร-ศัตรูของประชาธิปไตย แล้ววิสัยทัศน์หรือหนทางข้างหน้า ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีของการจะสร้างประชาธิปไตยในเมืองไทยจะทำอะไรดี

พูดอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น อาทิ การคัดค้านต่อต้านรัฐบาลทักษิณที่มาจากการเลือกตั้งและกุมเสียงข้างมากในสภา ทว่าผูกขาดอำนาจโดยกลุ่มทุนใหญ่ซึ่งพบเห็นว่าทุจริตและละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น เป็นการปกปักษ์รักษา หรือบ่อนทำลายประชาธิปไตยกันแน่ ในทางกลับกัน รัฐประหาร 19 กันยา 2549 หรือรัฐประหาร คปค. เป็นการทำลายและฉุดดึงประชาธิปไตยให้ถอยหลัง หรือเป็นมาตรการสุดท้ายอันจำเป็นเพื่อกอบกู้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้พ้นภัยเผด็จการทุนนิยมของระบอบทักษิณ

รัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ 2550 เป็นการขยายสิทธิเสรีภาพประชาชนครั้งใหญ่ ปฏิรูปปรับปรุงประชาธิปไตย หรือเป็นการฟื้นฟูระบอบเลือกตั้งทั่วไปขึ้นมา ภายใต้การชี้นำกำกับของอำนาจตุลาการ หน่วยกองสาขาของกองทัพแผ่นดิน

และสุดท้าย การเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปปลายปีนี้ จะนำไปสู่รัฐบาลประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่ของสังคมบ้านเรา หรือจัดตั้งรัฐบาลผสมหลายพรรคอันอ่อนแอ บนฐานระบบราชการประจำที่อิสระกว่าก่อนจนยากบริหารจัดการท้าทาย หรือรับโอกาสใหม่ๆ ของโลกยุคโลกาภิวัตน์ได้

น้อยครั้งนักที่ขาวกับดำจะคลุมเครืออุดมการณ์เข้าหากันเป็นเทาไปทั่วขบวนการประชาชนเท่าครั้งนี้ แล้วใครกันแน่ที่เป็นมิตรหรือศัตรูของผู้ที่ปักใจมั่นว่าจะยืนอยู่กับมรดกประชาธิปไตยของประชาชน ทักษิณ หรือสนธิ ...ทั้งลิ้ม และบังนะครับ สมัครหรืออภิสิทธิ์ พีทีวี หรือเอเอสทีวี ทุนใหญ่ผูกขาด หรือขุนศึกศักดินา

พื้นฐานปาฐกถา 14 ตุลาประจำปีนี้ มาจากงานวิจัยเรื่อง "จากระบอบทักษิณสู่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 : วิกฤตประชาธิปไตยไทย" ซึ่งผมทำให้กับศูนย์วิจัยคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจัดพิมพ์เป็นเล่มหนังสือประกอบการปาฐกถาครั้งนี้โดยมูลนิธิ 14 ตุลา

งานวิชาการ ถูกจัดทำขึ้นด้วยระเบียบวิธีการอันเป็นกรอบอันบังคับให้รอบคอบ รัดกุม ตามธรรมเนียมวิชาชีพ มีการอ้างอิงข้อมูล ข้อเท็จจริง สถิติ ตัวเลข รายงานข่าว คำสัมภาษณ์ บทวิเคราะห์ ความเห็นต่างๆ มารองรับ กำกับ ประกอบ การแสดงทัศนะวิเคราะห์ วิจารณ์ วินิจฉัย ไม่ให้เลื่อนลอย โดยงานชิ้นนี้ ผมใช้เวลาทำ 1 ปี จากกลางปี 2549 ถึงปีปัจจุบัน

ต้นฉบับยาว 100 หน้ากระดาษเอ 4 มีเชิงอรรถ 162 แห่ง อ้างอิงเอกสารและข้อมูล ทั้งที่เป็นสิ่งพิมพ์และเว็บไซต์ทั้งสิ้น 200 รายการ แบ่งคร่าวๆ เป็น เนื้อหาปูมหลัง เศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรม 35 หน้า ระบอบทักษิณ 40 หน้า ลักษณะของ คปค.และรัฐบาลสุรยุทธ์ 25 หน้า

ในงานวิชาการ มันไม่มีวันสมบูรณ์แบบและย่อมมีข้อบกพร่อง มีประเด็นข้อเท็จจริง ข้อวิเคราะห์ที่โต้แย้งได้ แต่อย่างน้อย ผมก็หวังว่ามันจะช่วยให้เข้าใจแง่มุมต่างๆ หรือเนื้อแท้ของปัญหาวิกฤตประชาธิปไตยที่เรากำลังเผชิญ มิใช่เพื่อเสนอทางออกสำเร็จรูป เพราะคำตอบแบบนั้น 'ไม่มี' แต่เพื่อให้พวกเรา ผู้รับทอดมรดกประชาธิปไตยจากวีรชน 14 ตุลา จะค่อยๆ หาทางขบแก้ทั้งทางความคิดและทางปฏิบัติต่อไป

ในที่นี้ ผมจึงตั้งใจดึงเอานัยยะทางการเมืองที่สำคัญของงานวิจัยชิ้นนี้ออกมาเรียบเรียงใหม่ เพื่อนำเสนอให้เหมาะกับโอกาสในเวลาจำกัด โดยแบ่งกลุ่มหัวข้อต่างๆ มีทั้งหมด 6 หัวข้อ ดังนี้

หนึ่ง เปรียบเทียบการปฏิวัติ 2475 กับ 2516

สอง ปมปริศนาของการปฏิวัติกระฎุมพีในประเทศกำลังพัฒนา

สาม จาก 2475 ผ่าน 14 ถึง 6 ตุลา

สี่ พฤษภาประชาธรรมกับวิกฤตโลกาภิวัตน์ไทย

ห้า รัฐประหาร 19 กันยา 2549

หก สรุปการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย 3 แนวทาง

..ผมอยากจะเริ่มโดยบทสรุปก่อน เพื่อให้เห็นว่าแก่นของมันคืออะไร

75 ปีหลัง 2475 และ 34 ปีหลัง 2516 กระบวนการปฏิวัติกระฎุมพีไทยมาถึงทางแพร่งที่ตาบอดคนละข้าง แล้วแยก

ทางกันเดิน หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ การปฏิวัติกระฎุมพีไทย ได้เปลี่ยนแปลงไปจากแนวทางตุลาคมของขบวนการพฤษภาประชาชน 14 - 6 ตุลา ซึ่งต้านทั้งรัฐราชการเผด็จการ และต้านอำนาจทุน ไปเป็น..

หนึ่ง แนวทางพฤษภาคม ของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ซึ่งต้านรัฐบาลเผด็จการศักดินาด้านเดียว

สอง แนวทางกันยายน ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งต้านอำนาจทุนด้านเดียว

จริงๆ แล้ว แก่นสารที่ผมอยากจะพูด มันเหมือนกับแก่นสารในปีนี้ของปาฐกถา 6 ตุลา ของ อ.จอน อึ๊งภากรณ์เด๊ะเลย เพียงแต่ว่าที่ผมพูดมันเป็นวิชาการมากหน่อย และการที่เป็นวิชาการมากหน่อย มันก็เลยเยิ่นเย้อกว่า และยุ่งยากกว่า กล่าวคือ อ.จอนขอให้คนเดือนตุลา คงเส้นคงวาบ้าง สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ ผมพยายามเสนอระบบทางการเมือง และโอกาสทางภววิสัยของความ 'ไม่คงเส้นคงวา' ทางอัตวิสัยของคนเดือนตุลาและกลุ่มพลังทางการเมืองต่างๆ ในสังคมไทย

ในประเทศทุนนิยม 'การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย' กับ 'การต่อสู้เพื่อสังคมนิยม' เชื่อมโยงกัน มันมีพลวัติต่อเนื่องกัน ไม่ว่าจะพูดถึงว่า สิทธิเสรีภาพ ความเป็นธรรมในสังคม ในประเทศทุนนิยมพัฒนาเสรี การต่อสู้มันมีความเชื่อมโยง มีนัยยะที่ผลักเข้าหากัน

ในที่นี้ ผมอยากเสนอหลักคิด โดยยกตัวอย่างประวัติศาสตร์ของพลวัตดังกล่าว การต่อสู้ของทั้งสอง ('การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย' กับ 'การต่อสู้เพื่อสังคมนิยม') ผมใคร่เสนอว่า ได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน เป็นการต่อสู้เดียวและขบวนการเดียว หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 โดยการที่ขบวนการนักศึกษาประชาชนในเมืองที่ถูกปราบปรามในเหตุการณ์ 6 ตุลา ยกธงเข้าป่า ร่วมกับขบวนการต่อสู้ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

ทว่าไม่กี่ปีให้หลัง ป่าก็แตก แล้วการต่อสู้ทั้งสองก็แยกทางกันภายใต้สถานการณ์ใหม่ เป็นสถานการณ์ที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในประเทศ และขบวนการสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ระหว่างประเทศปราชัย ขณะเดียวกัน ก็มีสิ่งเกิดใหม่ในเหตุการณ์ 2 ประการ คือ

หนึ่ง พระราชอำนาจนำของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบัน และสอง ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลกาภิวัตน์

นี่คือสถานการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากป่าแตก อย่างไรก็แล้วแต่ โลกาภิวัตน์ไมได้ราบรื่นตลอด วิกฤตจากโลกาภิวัตน์ก็เกิดขึ้นในปี 2540 และหลังจากนั้น ได้เกิดความสัมพันธ์ของเสาหลักของสถานการณ์ใหม่ทั้งสอง และเปิดมิติใหม่ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและสังคมนิยมขึ้นมา มิติใหม่และพลวัตใหม่นี้เองที่นำไปสู่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549

หนึ่ง : เปรียบเทียบการปฏิวัติ 2475 กับ 2516

ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคใหม่ มีเหตุการณ์สำคัญที่ถูกเรียกว่าเป็นการปฏิวัติกระฎุมพี ได้แก่ หนึ่ง การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 และสอง การลุกฮือของนักศึกษาประชาชน 14 ตุลาคม 2516

กรณีแรก 24 มิถุนา 2475 เช่น เพลงมาร์ช มธก.ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง โดยทวีป วรดิลก ซึ่งแต่งขึ้นในช่วงทศวรรษ 2490 เพลงนี้เลือกใช้ทำนองเพลงลา มาร์แซร์แยส (La Marseillaise) ซึ่งเป็นเพลงชาติฝรั่งเศส ที่ถือกำเนิดขึ้นหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1789 เลือกอย่างจงใจ เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยและมิติทางประวัติศาสตร์ จากคำให้สัมภาษณ์ของคุณทวีป วรดิลก ซึ่งบอกผมไว้ก่อนท่านสิ้นชีวิต

ถ้าท่านยังจำได้ เนื้อเพลงวรรคแรก...

...อันธรรมศาสตร์สืบนามความสามัคคี ร่วมรักในสิทธิศรีเสรีชัย

สัจธรรมนำเราเร้าในดวงใจ โดมดำรงธงชัยในวิญญาณ...

เนื้อนั้น แต่งขึ้นใหม่ แต่ทำนองมาจากเพลงลา มาร์แซร์แยส

...Allons enfants de la Patrie Le jour de gloire est arriv? !

Contre nous de la tyrannie L'?tendard sanglant est lev?...

...มาเถิด ลูกหลานของประเทศชาติ วันรุ่งโรจน์มาถึงแล้ว

เราควรเผชิญหน้ากับความกล้า ธงที่ชุ่มด้วยเลือดได้ถูกเชิดชูขึ้น...

เป็นการเล่นกับเพลง เพราะเหตุการณ์ 2475 เปรียบได้กับการปฏิวัติฝรั่งเศส 1789

ผมเคยพบหนังสือภาษาไทยเก่าเล่มหนึ่ง เรื่องการปฏิวัติฝรั่งเศสปี 1789 ในหอสมุดแห่งชาติโดยบังเอิญ ผมเจอหลัง 14 ตุลา 2516 อ่านคำนำ พบว่าหนังสือเล่มนั้นตีพิมพ์หลัง 2475 ไม่นาน ผู้เขียนชี้แจงไว้ตอนหนึ่งว่า ตีพิมพ์ออกมาก่อนหน้านั้นไม่ได้ จนกระทั่งหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงได้พิมพ์ออกมารับกับสภาพการณ์ที่เปลี่ยนไป พูดได้อีกอย่างหนึ่งคือ ในเวลานั้น ผู้เขียน ซึ่งผมจำไม่ได้แล้วว่าเป็นใคร 2475 เปรียบได้กับ 1789

ผมเคยเขียนกลอนระลึกถึงอาจารย์ปรีดี ตอนที่ท่านถึงแก่อสัญกรรม เมื่อปี 2526 ไว้ว่า

...ใช่ที่ว่าจุดหมายยังไม่ถึง ใช่ที่ว่าความฝันซึ่งยังต้องสร้าง

รัฐธรรมนูญยิ่งใหญ่ใส่พานวาง แต่ทวยราษฎร์เป็นเบี้ยล่างเสมอมา

แต่หากไร้คณะราษฎรสู้ ราษฎรคงอยู่เป็นไพร่ทาส

ก้าวแรกแห่งการล้มสมบูรณา เป็นก้าวสั้นแต่ทว่ายั่งยืนยาว...

ในกรณี 14 ตุลา 2516 ปรากฏในบทความของอาจารย์เบน แอนเดอสัน แห่งมหาวิทยาลัยคอร์แนล ชื่อบทความ “Murder and Progress in Modern Siam” หรือ “การฆาตกรรมทางการเมืองและความก้าวหน้าในสยามสมัยใหม่” มีข้อความตอนหนึ่งในบทความ ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ 1990 ความว่า พวกเรา หากลองนึกถึงปี 2516 ว่าเปรียบประดุจเป็น ค.ศ.1789 แห่งสยามแล้ว เราก็อาจมองช่วงระยะเวลาหลังจากนั้นทั้งหมดได้ในกรอบเพียงอันเดียว นั่นคือ กรอบการต่อสู้ของกระฎุมพี ที่ธำรงไว้ซึ่งอำนาจการเมืองใหม่ของตน ที่อยู่ในรูปสถาบันรัฐสภา จากภัยคุกคามทั้งซ้ายและขวา ทั้งภาคประชาชนและกลไกรัฐ

ในงานอีกชิ้นของครูเบน ซึ่งแปลเป็นไทยแล้ว ชื่อว่า “ศึกษารัฐไทย วิพากษ์ไทยศึกษา” พิมพ์ในฟ้าเดียวกัน เมื่อกรกฎาคม-กันยายน 2546 ภาษาอังกฤษตีพิมพ์เมื่อปี 1979 ครูเบนได้วิเคราะห์วิจารณ์เปรียบเทียบ 24 มิถุนา 2475 กับ 14 ตุลา 2516 ไว้ว่า รัฐสมบูรณาญาสิทธิ์สยาม อายุสั้นแค่ราว 40 ปี จากปี 2435 ถึง 2475 คือจากปลายรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 7 เนื่องจากอายุสั้น จึงเปลี่ยนแปลงสังคมเศรษฐกิจไทยไปไม่มาก ไม่ลึกซึ้งพอ ฉะนั้น 24 มิถุนา ซึ่งเป็นผลผลิตของและปฏิกิริยาทางการเมืองต่อรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์สยาม จึงแคบและเล็ก เป็นเรื่องของข้าราชการทำ ไม่ค่อยมีมวลชนเข้าร่วม เป็นแค่กบฏข้าราชการครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้ขุดรากถอนโคนรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์จริงจังอย่างที่สุด

2475 จึงเป็นปัญหาในรูปการณ์ใหม่ ในรูปรัฐราชการเผด็จการ หรือที่เรียกว่า อำมาตยาธิปไตย เทียบกันแล้ว การลุกฮือ 14 ตุลา 2516 เป็นผลผลิตของและปฏิกิริยาทางการเมืองต่อระบอบเผด็จการทหารอาญาสิทธิ์เพื่อการพัฒนาของสฤษดิ์ ถนอม ประภาส นาน 15 ปี ระบอบดังกล่าว และแผนพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้ระบอบนั้น เปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจสังคมไทยลึกซึ้งกว่ามาก พลิกโฉมหน้าชนชั้นกระฎุมพีไทยไปสู่ระดับใหม่ทันที

สอง : ปมปริศนาของการปฏิวัติกระฎุมพีในประเทศกำลังพัฒนา

ปมปริศนาของการปฏิวัติกระฎุมพีในประเทศกำลังพัฒนา เกิดจาก ประการแรก สังคมเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในโลกนั้น พัฒนาไปไม่สม่ำเสมอกัน และมีลักษณะเชิงซ้อน กล่าวคือ ในขณะที่ตะวันตกพัฒนาจากสัตยาบันทุนนิยม การปฏิวัติกระฎุมพีล่วงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว เรากลับพัฒนาทุนนิยมทีหลัง

ประการสอง จักรวรรดิทุนนิยมตะวันตก แผ่เข้าครอบประเทศต่างๆ ทั่วโลก ผ่านระบอบอาณานิคมทั้งเก่าและใหม่ ทำให้สังคมเศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาทีหลัง หรือประเทศกำลังพัฒนา มีลักษณะที่สลับซับซ้อนกว่าประเทศทุนนิยม เผชิญปัญหาเชิงซ้อน คือเผชิญปัญหาทั้งความล้าหลังกดขี่แบบเก่าของรัฐเผด็จการศักดินา และการขูดรีดข่มเหงแบบใหม่ของกลุ่มทุนต่างชาติที่เชื่อมโยงกับกลุ่มทุนในประเทศ

ฉะนั้น การปฏิวัติประชาธิปไตยกระฎุมพีไทยแบบคลาสสิก ที่ถือภารกิจโค่นรัฐเผด็จการศักดินา ช่วงชิงสิทธิเสรีภาพของประชาชนล้วนๆ จึงไม่สอดคล้องกับปัญหาความเป็นจริงที่ประสบในประเทศที่กำลังพัฒนาทีหลังหรือกำลังพัฒนา และถูกมองว่า ไม่เพียงพอ

ในทางปฏิบัติแล้ว การต่อสู้มักจะถลำลึกไปเป็นการปฏิวัติประชาธิปไตยแผนใหม่ที่มีภารกิจเชิงซ้อน คือควบรวมทั้งภารกิจปฏิวัติประชาธิปไตยกระฎุมพี ต่อต้านรัฐเผด็จการศักดินา เพื่อสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตย ควบรวมเข้ากับภารกิจปฏิวัติสังคมนิยมที่ต่อต้านเศรษฐกิจทุนนิยม เพื่อความเป็นธรรมทางสังคม หรือสังคมนิยม เข้าด้วยกัน

สาม : จาก 2475 ผ่าน 14 ถึง 6 ตุลา

กระบวนการปฏิวัติกระฏุมพีไทยก็เกิดปมปริศนานี้ และมีปฏิกิริยาตอบโต้ในการเมืองไทยตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมขอยกตัวอย่างสามกรณี

หนึ่ง 'ปรีดี พนมยงค์' ในการปฏิวัติ 2475 อ.ปรีดีเสนอหลักคณะราษฎรหกข้อ ข้อสามระบุว่า จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎร ในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก ในที่สุด เพียงช่วงเวลาไม่ถึงปีหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง อ.ปรีดีก็นำเสนอเค้าโครงทางเศรษฐกิจ 2475 ซึ่งในทัศนะของผม คือลัทธิสหกรณ์โดยรัฐแบบสมานฉันท์ ที่ยังคงหลีกเลี่ยงการพัฒนาแบบทุนนิยม ก็เห็นแล้วว่าการพัฒนาแบบทุนนิยมมันมีปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในปี 1930 ทำไมเราจะเดินเส้นทางที่พลาดไปแล้วของประเทศทุนนิยมอีก

อ.ปรีดี เสนอเค้าโครงทางเศรษฐกิจ ได้พูดถึงตอนหนึ่งว่า

“ก็เมื่อการที่รัฐบาลประกอบเศรษฐกิจเสียเองเช่นนี้ เป็นการที่ทำให้วัตถุประสงค์ทั้งหกประการของคณะราษฎรได้สำเร็จไปตามที่ได้ประกาศแก่ราษฎรไว้แล้ว สิ่งที่ราษฎรทุกคนพึงปรารถนา คือ ความสุขความเจริญอย่างประเสริฐ ซึ่งเรียกกันเป็นศัพท์ว่า ศรีอริยะ ก็จะพึงบังเกิดแก่ราษฎรโดยถ้วนหน้า ไฉนเล่า พวกเราที่ได้พร้อมใจกันไขประตู (ยึดอำนาจ) เปิดช่องทางให้แก่ราษฎรแล้ว จะรีๆ รอๆ ไม่นำราษฎรต่อไปให้ถึงต้นกัลปพฤกษ์ ซึ่งราษฎรจะได้เก็บผลเอาจากต้นไม้นั้น คือผลแห่งความสุขความเจริญ ดั่งที่ได้มีพุทธทำนายกล่าวไว้ในเรื่องศาสนาพระศรีอารีย์”

สอง 'พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย' เสนอภารกิจปฏิวัติประเทศไทยในลักษณะปฏิวัติประชาธิปไตยแผนใหม่ หรืออีกนัยหนึ่ง ปฏิวัติประชาธิปไตยกระฎุมพีนั่นแหล่ะ แต่มีชนชั้นกรรมาชีพหรือกรรมกรอุตสาหกรรมเป็นกองหน้า ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งถ้าการปฏิวัติกระฎุมพี ให้กรรมกรเป็นกองหน้า แล้วพรรคคอมมิวนิสต์นำ มันก็มุ่งสู่สังคมนิยมโดยตรง โดยไม่ผ่านเส้นทางการพัฒนาแบบทุนนิยม

สาม 'เสกสรรค์ ประเสริฐกุล' เคยให้สัมภาษณ์สะท้อนสภาพทางความคิดของนักศึกษากิจกรรมหลัง 14 ตุลา 2516 ไว้ว่า

“…ทีนี้พอหลัง 14 ตุลา ขบวนการลงสู่ชนบทเผยแพร่ประชาธิปไตยนี่ มันพาเราไปสู่ทางซ้ายโดยไม่ทันตั้งตัวเลย เพราะเราจะไปเผยแพร่ประชาธิปไตยนี่ มันกลายเป็นของฟุ่มเฟือยสำหรับคนที่ยากไร้ เขาถูกรุมล้อมด้วยปัญหา ปัญหาไม่เป็นธรรม ถูกข่มเหงรังแกโดยผู้ที่มีเครื่องแบบมีอำนาจ พอรู้ปัญหาเหล่านั้น เราก็เอามาเสนอกับทางรัฐบาล มาประท้วงบ้าง มาเสนอให้แก้ไข มาประสานกับทางรัฐบาลบ้าง เสนอไปมากๆ เราชักเวียนว่ายอยู่กับปัญหาเหล่านั้น ไม่มีเวลามาคิดถึงประชาธิปไตยแล้ว รูปแบบการประท้วง หรือว่าการเอาปัญหาเหล่านั้น มาเสนอโดยตัวของมันเองนี่ มันทำให้เรากลายเป็นซ้ายโดยอัตโนมัติ เช่น ปัญหาค่าแรง หรือว่าปัญหาที่ดิน อย่างนี้ ในทัศนะของผู้ปกครอง เขาก็ว่าเราเป็นซ้ายไปแล้วโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว…”

มันเป็นความเชื่อมโยงกัน เป็นข้อที่ต่อเนื่องกัน ระหว่างการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย หรือการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมทางสังคมการฆ่าหมู่และรัฐประหาร 6 ตุลา 2519 ส่งผลก่อเกิดปฏิกิริยาหลอมรวมสองการปฏิวัติ หลอมรวมกระบวนการ คือหลอมรวมการปฏิวัติประชาธิปไตยกระฎุมพี กับการปฏิวัติสังคมนิยมกรรมาชีพ และหลอมรวมการประท้วงของนักศึกษาปัญญาชนในเมืองกับขบวนการต่อสู้ของคอมมิวนิสต์ในชนบทเข้าด้วยกัน

ด้วยกระบวนการนี้ พอเกิดเหตุ 6 ตุลา ก็หลอมรวมนักศึกษาเข้าป่า ไปเจอชาวนาที่เราไม่เคยรู้จัก เป็นสหายร่วมป่า ห้าปีต่อมา ขบวนการหลอมรวมแนวร่วมนี้แตกกระจาย พคท. ล่มสลาย นักศึกษาปัญญาชนออกจากป่าคืนเมือง คำถามคือ เกิดอะไรขึ้นกับภารกิจการปฏิวัติทั้งสองประการนี้?

ผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังป่าแตก การปฏิวัติสังคมนิยมหรือการต่อต้านทุนนิยมล้มเลิก ท่ามการวิกฤตการณ์อุดมการณ์ระบอบสังคมนิยมทั่วโลกเปลี่ยนรูปไป เป็น 'การเมืองภาคประชาชน เพื่อเศรษฐกิจพอเพียง ใต้พระราชอำนาจนำ' ที่มีนัยยะวิพากษ์วิจารณ์ด้านที่สุดขั้วรุนแรงของทุนนิยม และเสนอตัวเป็นทางเลือกของชุมชน ภายใต้ระบอบทุนใหม่

ภารกิจปฏิวัติประชาธิปไตยกระฎุมพีต่อต้านเผด็จการ พ่ายแพ้ เปลี่ยนรูปไปเป็นความพยายามปฏิรูปรัฐราชการใต้พระราชอำนาจนำ อีกนั่นแหล่ะ ซึ่งก็คลี่คลายขยายตัวไปในระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ ภายใต้รัฐบาลพลเอกเปรม และระบอบเลือกตั้งทั่วไปภายใต้รัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ก่อนที่จะเผชิญกับปฏิกิริยาตอบกลับของพลังราชการเผด็จทหารในรูปรัฐประหาร รสช.ปี 2534

สี่ : พฤษภาประชาธรรม กับวิกฤตโลกาภิวัตน์ไทย

ขบวนการพฤษภาประชาธรรม 2535 ดังที่นิธิ เอียวศรีวงศ์ ชี้เอาไว้ ในบทความชื่อ ‘ชาตินิยมของขบวนการประชาธิปไตย’ มีความแตกต่างจาก 14 ตุลา 2516 แตกต่างตรงลักษณะ เจตจำนง และพลวัตต่อมา เป็นการปฏิวัติประชาธิปไตยกระฎุมพีล้วนๆ ปลอดเปล่ามิติของภารกิจต่อต้านทุนนิยม หรือมุ่งหาสังคมนิยมเลยโดยสิ้นเชิง

หลัง 14 ตุลา นักศึกษาประชาชนเข้าสู่ท้องนา เชื่อมโยงกับองค์กรชาวนา หลังพฤษภาประชาธรรม ... ด้วยความเคารพ คนชั้นกลางเข้าสู่ตลาดหุ้น

นับจากนั้นมา การเมืองไทยเข้าสู่ระบอบเลือกตั้ง ภายใต้พระราชอำนาจนำ ที่ด้านหนึ่งพยายามปฏิรูปรัฐราชการอำนาจนิยมที่ล้าสมัย รวมศูนย์อำนาจ อีกด้านหนึ่ง พยายามปฏิรูปการเมืองเพื่อระบุแบบแผนระหว่างความสัมพันธ์ทางอำนาจ ระหว่างนักเลือกตั้งกับกลุ่มทุนใหญ่ ชนชั้นนำกลุ่มทุน ชนชั้นกลาง และประชาชนเสียใหม่ เพื่อไม่ให้เป็นปัญหากีดขวางการพัฒนาทุนนิยมในสภาพโลกาภิวัตน์สืบต่อไป นี่คือรูปการณ์ใหม่ของมิติต่อต้านรัฐราชการเผด็จการ ของภารกิจปฏิวัติกระฎุมพี

ในช่วงหลังพฤษภาประชาธรรม ขอบฟ้าแห่งความเป็นไปได้ในจินตนาการ หรือในวิสัยทัศน์ทางสังคมเศรษฐกิจการเมืองหลังพฤษภา 35 ประกอบด้วยสองอย่าง ขอบฟ้า แปลว่าไกลที่สุดที่จะนึกได้ ไม่มีใครนึกไปไกลกว่านั้น ขอบฟ้าดังกล่าว คือ ‘ทุนนิยมโลกาภิวัตน์’ บวก ‘พระราชอำนาจนำ’

ขอบฟ้านี้เป็นพรมแดนของกระแสและกระบวนการปฏิรูปการเมืองหลังพฤษภา 35 ที่มีขึ้นเพื่อปรับระบบการเมืองการปกครองให้สามารถตอบสนองความเปลี่ยนแปลง ช่วงชิงโอกาส รับมือการท้าทายจากสภาวะทุนนิยมโลกาภิวัตน์ได้ และเพื่อธำรงรักษา และจรรโลงสถาบันกษัตริย์ให้มั่นคง เข้มแข็ง ยั่งยืน ภายใต้สภาพการณ์ใหม่ทางการเมือง ที่เปิดเสรี และเป็นประชาธิปไตยรัฐสภายิ่งขึ้น

ปฏิรูปการเมือง ขอบฟ้าอยู่แค่นี้ 'ทุนนิยมโลกาภิวัตน์' กับ 'พระราชอำนาจนำ' ไม่ไปไกลกว่านั้น

สิ่งที่ระลึกได้ตอนนี้คือ องค์ประกอบทั้งสองของขอบฟ้าการปฏิรูปนี้ จะตึงเครียด ขัดแย้งกันทุกด้านในอนาคต เพื่อจะได้ลิ้มลอง ต้องย้อนกลับสักเล็กน้อยเกี่ยวกับโลกาภิวัตน์การเมืองไทย ผมคิดว่า อาจกล่าวได้ว่า ณ จุดใดจุดหนึ่ง ราวกลางทศวรรษ 2530 นั้น ชนชั้นนำไทยได้ยึดฉันทามติที่จะพาประเทศไทยไปสู่เส้นทางโลกาภิวัตน์ มันคงไม่ใช่การมาประชุมร่วมสมัชชาชนชั้นนำแห่งชาติที่ใดที่หนึ่งในครั้งเดียวอย่างเป็นทางการ มันไม่มีการประชุมแบบนั้น แต่มันเป็นผลสั่งสมจากการตัดสินใจจำนวนมากที่สำคัญๆ เช่น

การริเริ่มเปิดเสรีเศรษฐกิจและวัฒนธรรมการเมืองหลายด้านของรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน ชุดที่หนึ่งและชุดที่สอง ในปี 2534 และ 2535, การสร้างและเผยแพร่วาทกรรมโลกาภิวัตน์ต่อสาธารณชนอย่างเข้มข้น ต่อเนื่อง เป็นระบบ โดยปัญญาชนสาธารณะและกลุ่มทุนสื่อสารมวลชนในเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ผ่านเหตุการณ์พฤษภาประชาธรรม ก่อน 2535 เป็นต้นมา, การตัดสินใจเปิดเสรีบัญชีทุน โดยจัดตั้งวิเทศธุรกิจกรุงเทพฯ ขึ้นมาในปี 2536 สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย เพื่อเป็นตัวกลางในการระดมทุนจากหลายประเทศ ด้วยการเชื่อมโยงตลาดภายนอกเข้าสู่ตลาดภายในประเทศ รวมทั้งการรับเอาวาระปฏิรูปการเมือง มาเป็นนโยบายหลักทางการเมือง ในการรณรงค์หาเสียงของพรรคชาติไทย และเมื่อเป็นรัฐบาล นายกฯ บรรหาร ศิลปอาชา ก็แก้ไขรัฐธรรมนูญ จัดตั้ง สสร. ทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับในปลายปี 2539 สมัยรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ จนนำไปสู่การปฎิรูปเปลี่ยนแปลงระบอบเลือกตั้งธิปไตย ไปเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มุ่งหมายให้... ยืมคำหมอประเวศ.. 'ปิดทุจริต เปิดประสิทธิภาพ และสร้างเสริมภาวะผู้นำ' เพื่อรับมือกับความท้าทายของโลกาภิวัตน์ ในปี 2540

แก้วมังกร

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2556 ไปงานแต่งงาน(นครราชสีมา)เพื่อนมา  เขาใ้ห้กิ่งแก้วมังกรมาด้วย
ตัดกิ่งชำได้ 9 กิ่ง
แก้วมังกรมีฤทธิ์เย็นมาก


Wednesday, May 15, 2013

ความอิ่มเอม

เวลาได้เห็นสัตว์ต่างๆมาใช้ชีวิตหรือดำรงชีพในพื้นที่สวนเรา ก็รู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก
นี่เป็นไข่นกเป็ดน้ำ  มี 9 ฟอง  ด้วยความหวังว่าจะฟักเป็นตัวได้ทั้งหมดนะเจ้านกน้อย